วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

7 “ไอ้แป๊ก”คนไทยที่อายุน้อยที่สุดและเก่งที่สุดในโลก

ที่มา : http://mlm.thaimlmnews.com/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
ชื่อหนังสือ : ไอ้แป๊กคนไทย...ที่อายุน้อยที่สุด...และเก่งที่สุดในโลก
ผู้แต่ง : สมคิด  ลวางกูร
สำนักพิมพ์ : บริษัท สำนักกุโสดอ จำกัด
จำนวนหน้า : 249 หน้า
ราคา : 150บาท
          หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการModelความคิดขึ้นมาใหม่ของคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่มีนามว่าไอ่แป๊กคนไทยที่อายุน้อยที่สุดและเก่งที่สุดในโลกในการลงมือลงทุนทำธุรกิจของเขาจนประสบความสำเร็จ โดยมีหลักความคิดต่างๆมากมายอย่างเช่นดังในหนังสือที่ได้เขียนไว้ข้างในเล่มในความคิดหลักการที่ว่า โลกมันเปลี่ยนแปลงเยอะและเร็วมาก มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบผลิกโลก กลับด้านได้เลย วิธีการเดิมๆ ความคิดเดิมๆที่เคยทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่อ 10-20ปีที่แล้ว ปัจจุบันมันใช้สร้างชีวิตไม่ได้แล้ว เพราะบางอย่างมันก็มีเยอะจนเกินไป มองไปทางไหนก้อเห็นแต่แบบเดิม ทำให้เกิดคู่แข่งในการสร้างธรกิจสร้างอาชีพมากมายและนอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังได้เขียนถึงหลักความคิดที่จะสร้างชีวิตที่จะทำให้ประสบความสำเร็จว่าควรทำอย่างไร แต่สำหรับผม ผมว่าหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งเป็นการแนะนำขั้นจอนวิธีการคิด วิธีการทำงาน ให้ประสบความสำเร็จปรับใช้ให้เหมาะกลับยุคสมัยในปัจจุบัน แต่สิ่งที่คนส่วนมากจะปฏิบัติหลังจากเกิดแรงจูงใจจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ หลายคนอาจจะทำตามอาจจะใช้หลักคิดตามในหนังสือแล้วไม่ประสบความสำเร็จไม่ต้องสงสัยเลยครับเพราะหนังสือเขาก็เขียนระบุว่าถ้าต้องการทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ ควรมีหลักการคิดที่แปลกใหม่ รอบครอบ ทันสมัย เป็นสิ่งที่ยุคปัจจุบันต้องการอย่างมาก มีคุณภาพแต่ถ้าเราไปทำตามขั้นตอนในหนังสือตามผู้เขียนเราก็ไม่สำเร็จหลอกครับเราอาจจะคิดได้หลักการใหม่ขึ้น หรืออาจจะคิดได้หลักการการทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ดีกว่าและไวกว่า แต่ในหนังสือเล่มนี้ผมเห็นด้วยอยู่หลักการหนึ่งที่ว่าคนทั่วโลกร่ำรวยมหาศาลจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ จากPlatformใหม่ จริงครับเพราะยุคสมัยนี้มีแต่เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้เกิดความรวดเร็วในการผลิตซึ่งแต่ละบริษัทก้อต้องการกันอย่างมากมายแต่หารู้หรือไม่ว่าความคิดการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นี้จะทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาก็คือ ปัญหาการว่างงานทำให้มีผู้คนตกงานกันอย่างมากมาย เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆมากมายเพราะว่าเป็นการลงทุนที่ได้มาตราฐานเป็นการลดต้นทุนในการจ้างแรงงานอีกด้วย อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย การสร้างอนาคต ยิ่งยากกว่าถ้าไม่รู้จักการวางแผนชีวิตให้ดีเสียก่อน จะทำให้ประสบความสำเร็จยาก
แง่มุม 5 แง่มุมที่คุณจะได้เห็นเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้
1.จะได้สัมผัสกับความคิดที่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้รางๆและยังสามารถทำให้เรานำไปใช้คิดตามหรือใช้ในการปฏิบัติต่างๆได้ว่าการที่เราจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆไม่ได้ ได้มาง่ายแต่อยู่ที่ว่า ระยะเวลา ความคิด ความพยายาม ความตั้งใจ กำลังใจ จุดประสงค์เพื่อเป็นการจุดประกายแรงบาลดาลใจให้มีเรื่องสู้ต่อไม่ท้อถอย
2.การที่เริ่มทำอะไรสักอย่างก่อนคนอื่น ได้เปรียบ หรือกล่าวง่ายว่าเริ่มก่อนได้เปรียบ ตัวอย่างเช่นเด็กอายุ15เริ่มทำงานหาตังเรียนเองแล้วค่อยๆผลันตัวขึ้นมาทำเป็นธุรกิจ สิ่งแน่นอนว่าการผิดพลากย่อมมากกว่านักธุรกิจที่อายุ30กว่าๆแน่ แต่ในการผิดพลาดของเด็กอายุ15ยังมีเวลาที่จะลุกขึ้นมาพัฒนาใหม่ และยังเหลือเวลาอีกมาก จนกว่าจะประสบความสำเร็จและเมื่ออายุ30เค้าไม่ต้องมาเสียเวลาพึ่งเริ่มธุรกิจ แต่เค้ามีธุรกิจเรียบร้อยแล้ว เหนื่อยกว่า ผิดผลาดกว่า แต่...คุ้มค่ากว่า
3.คิดว่าการประสบความสำเร็จคือเรียนให้จบเรียนอย่างเดียวให้ได้ใบปริญญา เพื่อมาใช้ในการทำงานได้เงินเดือน เดือนละ1200-20000บาท บางคนอาจหางานได้ดีกว่านั้นกว่ากันไป แต่ถ้าเราได้เงินได้แค่12000คิดว่าพอหรือป่าวพอแค่เราคนเดียวหรือป่าว คำว่าประสบความสำเร็จ สำเร็จแค่เราคนเดียวหรือ การตอบแทนพระคุณแม่ด้วย ดั้งนั้นหนังสือเล่มนี้สอนเลยว่าการเรียนนั้นเป็นส่วนประกอบของความสำเร็จ แต่เราต้องฝึกปฏิบัติให้พร้อมกับชีวิตจริงเพื่อความรู้ที่แท้จริงและนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข
4.จนไม่ผิด ไม่รู้ไม่ผิด ยังไม่มีอนาคตไม่ผิด แต่ถ้าจน ไม่มีตังค์ ไม่มีงานทำ ไม่มีอนาคต แล้วยังไม่ขวนขวาย นี่แหละผิด ชีวิตหายนะแน่นอน

5.อยากรู้ว่าอนาคตเราเป็นอย่างไร ให้ดูที่ หนังสือที่เราอ่าน เพื่อนที่เราคบ สังคมที่เราเลือกอยู่  เราอ่านหนังสิ คบเพื่อน เลือกอยู่ในสังคมแบบไหน อนาคตของเราจะเป็นแบบนั้น และคุณสมบัติของคนรุ่นใหม่ต้องทำงานที่สร้างอนาคตได้ ต้องมี Platform เป็นของตัวเองต้องเป็นเศรษฐี ตั้งแต่อายุยังน้อย

6 The adventures of huckleberry finn การผจญภัยของฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์

ที่มา http://readery.co/ สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2560

ชื่อหนังสือ : The adventures of huckleberry finnการผจญภัยของฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์
ผู้แต่ง : มาร์ก ทเวน
ผู้แปล : ธารพายุ
วาดภาพประกอบ : อาร์ต จีโน
แนว : Adventure
สำนักพิมพ์ : Enter Books ในเครือ แจ่มใส
พิมพ์ครั้งที่ 1: เมษายน พ..2558
จำนวนหน้า : 413หน้า
ราคา : 395บาท

เนื้อเรื่องย่อ
เป็นเรื่องราวของเด็กชาย ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์ที่อาศัยอยู่กับพ่อแท้ๆของตนเอง ซึ่งพ่อแท้ๆของฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์ เป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าเมาสุรามากๆ และ มักจะทำร้ายฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์ อยู่ตลอดทำให้ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์ตัดสินใจที่จะหนีจากพ่อของตนเองเพราะทนการกระทำของพ่อตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาหนีไปในป่าและไปเจอกับจิมชายชาวนิโกรคนหนึ่งซึ่งกำลังหนีออกจากบ้านเก่าที่ตนอยู่เพราะนายเก่าของตนกำลังจะขายตนให้กับนายหน้าค้าทาสซึ่งจิมเองบังเอิญไปได้ยินมาเขาจึงตัดสินใจหนี
ฮักเกิลเบอร์รี่ ฟินน์และ จิม จึงตัดสินใจที่จะหนีไปด้วยกัน มันจึงกลายมาเป็นการผจญภัยของพวกเขาทั้งคู่ที่จะได้ไปเริ่มใช้ชีวิตใหม่
แง่มุม 5 แง่มุมที่คุณจะได้เห็นเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้
1. ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ อยู่บ้านกับมิสวัตสัน เขาอยากออกไปเล่นกับเพื่อนแต่มิสวัตสันไม่ให้ไป ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ เลยรอจังหวะที่ทุกคนหลับ และตนเองก็กระโจนหนีออกจากหน้าต่างเพื่อหลบหนี ไปเล่นกับเพื่อน เพราะตนเองก็ไม่อยากอยู่ที่บ้านกับมิสวัตสันแต่แรกอยู่แล้ว จึง
2. พวกกลุ่มเด็ก ๆ ที่ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ไปเล่นด้วยนั้นได้ไปสถานที่ลับและชวนกันทำสัญญาตั้งกลุ่มเป็นกลุ่มโจร โดยคนที่อยู่ในกลุ่มนี้จะต้องห้ามเอาความลับไปบอกใครห้ามนำไปบอกจะทำการฆ่าทิ้ง โดยกลุ่มโจรนี้เองวางแผนที่จะปล้นชาวบ้าน หรือ ดักปล้นรถม้า พวกเขาวางแผนเพื่อจะนัดวันรวมตัวกันเพื่อที่จะลองปล้นและฆ่าใครซะคน
3. ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ วางแผนหนีออกจากพ่อแท้ๆ ของตนเองโดยการแกล้งตาย เพื่อหลอกพ่อของตน และหลอกแม่เลี้ยงมิสวัตสัน เพื่อจะได้ไม่ต้องให้ใครมาตามหาตนเอง ฮักเกิลหนีโดยการล่องแพไปตามแม่น้ำ
4. จิม ชาวนิโกรเขาวางแผนหนีออกจากบ้านของมิสวัตสัน เพราะว่า เขาไปบังเอิญได้ยินว่า มิสวัตสันจะขายเขาให้กับนายหน้าค้าทาส ถึงแม้ว่ามิสวัตสันจะสัญญาว่าจะไม่ขายเขา แต่จำนวนเงินที่นายหน้าเสนอให้มีจำนวนเยอะมาก จิมตัดสินใจจะหนีโดยทั้งทีโดยใช้โอกาสตอนที่ทุกคนตามหาศพของ ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์จิมหนีออกมาและไปหลบตามร้านเหล้า หลบตามป่าเพื่อไม่ให้ใครจับเขา
5. ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ และ จิม วางแผนจะสืบว่าหมู่บ้านที่อยู่ข้าง ๆ ป่านั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น โดยจิมเสนอบอก ฮักเกิล เบอร์รี่ ฟินน์ ว่าให้เขาแต่งชุดปลอมตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาก็เห็นด้วยจึงไปนำชุดของเด็กผู้หญิงมาใสปลอมตัวเข้าไปสืบข้อมูลในหมู่บ้าน

5 Divergent มายาเร้นโลก

ที่มา : https://www.dek-d.com/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560

ผู้เขียน เวอโรนิก้ารอธ
ผู้แปล นลิญ
เรื่องย่อ
เป็นหนังสือที่เขียนถึง สังคมของไดเวอร์เจนท์เป็นสังคมในโลกอนาคตโดยฉากของเนื้อเรื่องคือเมืองชิคาโก้ ทุกคนใช้ชีวิตปกติเหมือนสังคมเรา เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่ไฮเทคกว่าสังคมของไดเวอร์เจนท์จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มโดยแต่ละกลุ่มจะมีการยึดถือคุณธรรมที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนของแต่ละกลุมจะมีการยึดถือปฏิบัติตามคุณธรรมของกลุ่มตน และปฏิบัติหน้าที่ของตนที่ถูกกำหนดตามกลุ่มอย่างเคร่งครัด
โดยจะแบ่งออกเป็น5กลุ่มคือ
1.Abnegation: คนกลุ่มนี้ เน้นเรื่องการเสียสละ ไม่ยึดติดอยู่กับตัวเอง ทุกคนเงียบขรึม มีการแต่งตัวชุดสีเทา ไม่ชอบมองกระจก (การมองกระจกถือเป็นการหลงตัวเอง) ทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม  นึกถึงผู้อื่นและส่วนร่วมเป็นหลัก
2. Dauntless: คนกลุ่มนี้เป็นผู้กล้า ทำหน้าที่คล้ายๆทหาร ชอบใช้กำลัง ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะความกลัวทั้ง
3. Erudite: กลุ่มคนฉลาดและกระหายความรู้ คนส่วนใหญ่เป็นนักวิทยาศาสตร์คอยพัฒนาเพื่อสังคมโดยรวม
4. Amity: กลุ่มคนรักสันติ ไม่ชอบการต่อสู้ ไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง อยู่ได้ด้วยตัวเอง มีอาชีพเป็นเกษตรกร แต่บางครั้งกลุ่มนี้ก็ลุกขึ้นสู้ เพราะยึดแนวคิดที่ว่า บางทีการจะได้ความสงบสุขมาก็ต้องสู้ก่อน
5. Candor: กลุ่มคนยึดถือสัจจะ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีความลับ ซื่อตรง เชื่อถือได้ ยึดมั่นแต่ความจริง โปร่งใส

แง่มุมที่ 1
การวางแผน ในเนื้อเรื่องสังคมของไดเวอร์เจนท์มีการแบ่งผู้คนเป็นกลุ่มต่างเป็นห้ากลุ่มโดยทั้งห้ากลุ่มสร้างขึ้นมาจาก flaws ของมนุษย์ กล่าวคือ การรบราฆ่าฟันกันในอดีต เกิดขึ้นมาก็เพราะมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว, ขี้ขลาด, ไม่ประสีประสา, ก้าวร้าวรุนแรงและไม่ซื่อสัตย์ สังคมจึงแบ่งออกเป็นห้ากลุ่มเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของมนุษย์ทั้งห้าอย่างนั้นซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีการวางแผนที่แบ่งผู้คนให้รู้จักหน้าที่ของตนเอง
แง่มุมที่ 2
ในเนื้อเรื่องนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้จะเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมา ถึงเวลาก็ต้องพรากจาก หนังพยายามจะเน้นไปที่ปม กลุ่มข้นกว่าเลือดอยู่มากพอสมควร มองออกไปก็ดูไม่ต่างจากอุดมการณ์ของคนต่างกลุ่มในยุคนี้ แม้แต่ครอบครัวก็อาจล่มสลายได้จากขั้วความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงแต่ละบุคคลมีจุดยืนเป็นของตนเองมีความคิดเป็นของตนเองซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปโดยที่ไม่เปิดรับความคิดของผู้อื่นก็นำไปสู่ความล้มเหลวได้เหมือนกัน
แง่มุมที่ 3
เมื่อถึงวัยที่สมควร ซึ่งก็เป็นช่วงหนุ่มสาว พวกเขาต้องเลือกกลุ่มของตัวเอง โดยเริ่มจากการทำแบบทดสอบกันก่อน เหมือนทางการจะได้เก็บบทสรุปเอาไว้ว่าใครได้กลุ่มไหน แต่ก็ยังให้โอกาสเด็กๆ ได้เลือกด้วยตัวเองอีกครั้งว่าจะอยู่กับกลุ่มเดิมที่ตนเติบโตขึ้นมาหรือจะไปอยู่กับกลุ่มใหม่ที่เชื่อว่าเข้ากับบุคลิกของตน ซึงเหมือนกับสังคมในปัจจุบันก็คือช่วงหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนั้นก็คือการก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยที่ทุกคนสามารถเลือกได้และมีการสอบเข้าเพื่อให้ทราบว่าเราเหมาะที่จะเข้าดำเนินชีวิตทางสายนี้หรือไม่
แง่มุมที่ 4
นางเอกShailene Woodley)อายุ 16 ปี เธอเข้ารับการทดสอบและปรากฏว่าเธออยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าคนพวกไดเวอร์เจนท์ซึ่งคนจำพวกนี้ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มคนที่สังคมประณามว่าเป็นบุคคลอันตรายแต่ในทางกลับกันกลุ่มคนเหล่านี้ได้ช่วยให้สังคมพ้นผ่านวิกฤตในการปฏิวัติไปได้เปรียบเสมือนสังคมที่ควรให้โอกาสกลับกลุ่มคนที่แตกต่างจากผู้อื่น
แง่มุมที่ 5
ตัวละคร และเนื้อเรื่องถูกออกแบบมาให้เห็นภาพสะท้อนสังคมของมนุษย์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนโดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งการแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มนี้สื่อให้เห็นว่าเกิดสังคมที่สงบสุขขึ้นมาได้ แต่กับไม่เป็นไปอย่างที่คิดซึ่งสุดท้ายแล้วสังคมแบบนี้ก็ล้มเหลว นั้นเป็นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามที่จะบอกว่าการที่แบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นหลายๆพวกนั้นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วในนัยยะหนึ่งหนังสือได้บอกเป็นนัยๆว่า การที่มนุษย์ต่างความคิดกัน ต่างอารยะ สามารถอยู่ร่วมกันได้และจะนำไปสู่สังคมที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งดีกว่าการแบ่งของผู้คนและสังคมแต่ละสังคมออกจากกัน


4 Girls & A Doll

ที่มา : https://my.dek-d.com/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 

ชื่อหนังสือ : เกิลล์แอนด์อะดอลล์ (Girls & A Doll)
ผู้แต่ง : ดร.ป๊อป (
ฐาวรา สิริพิพัฒน์)
แนว : Sci-Fi / Fantasy Adventure
สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์ทีน
พิมพ์ครั้งที่ 1: 2009
จำนวนหน้า : 456หน้า
ราคา : 265 บาท


เรื่องย่อ

One Doll Change The World(การมาของมันจะเปลี่ยนโลกทั้งใบ) ขณะที่เราดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า โลกใบนี้มีผู้มีอำนาจพิเศษ เช่นเดียวกับแองเจล่า ฟรอยด์ จนกระทั่งการมาปรากฎกายของตุ๊กตาตัวหนึ่ง ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปเธอได้เข้าไปอยู่ในวังวนของคนที่ครอบครองแหล่งพลังงาน 3 กลุ่มคือ พาวเวอร์ มาสเตอร์ และสเลเยอร์ ท่ามกลางการไล่ล่าเพื่อช่วงชิงแหล่งพลังงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจพิเศษ และเพื่อการกลับมาของใครบางคน เราอาจเรียกมันได้ว่าเป็นสงครามขนาดย่อม ที่คนธรรมดาไม่อาจสังเกตเห็น ไม่มีกองทัพและเมื่อความจริงของตุ๊กตาถูกเปิดเผยปริศนาถูกคลี่คลายแต่นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น

วิพากษ์

Girls & A Doll เป็นนวนิยายที่ไม่ได้เวอร์จนมากเกินไป แต่เนื้อเรื่องก็ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งโลกความเป็นจริง แต่พิเศษ หน่อยก็ตรงที่ว่าตัวละครบางตัวมีความสามารถพิเศษที่มนุษย์คนอื่นเค้าไม่มี นี่แหละ ความพิเศษของเรื่องนี้ ตัวละครในเรื่องก็มีไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป ทำให้เราที่เป็นผู้อ่านสามารถจำได้หมด ในหนังสือเรื่อง เกิลล์แอนด์อะดอลล์  (Girls & A Doll)แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยาย สำหรับผู้อ่านสิ่งที่ต้องการจากนวนิยายคือความสนุกไม่ใช่ความจริงของเนื้อหาว่าสิ่งนี้ไม่มีจริงมันเป็นไปไม่ได้ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ เป็นกับเรื่องราวระทึกขวัญของ 8 คน 8 พลัง 8 ปริศนา และตุ๊กตา 1 ตัว สู่มหาวิบัติเหนือจินตนาการที่โลกต้องตะลึง การดำเนินเรื่องซับซ้อน ทำให้ชวนติดตามโดยที่ เนื้อเรื่องยังไม่ค่อยโชว์ความเป็นวิทยาศาสตร์ออกมาเท่าไหร่บรรยากาศในเรื่องจะออกแนวลึกลับที่เล่นกับด้านมืดของจิตใจมนุษย์ซึ่งมีปมปริศนา ที่ทำให้เนื้อเรื่องหักมุมมายกมายจนทำให้คนที่ได้อ่านเดาทางไม่ถูกเลย


 แง่มุม 5แง่มุมที่คุณจะได้เห็นเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้
1.แง่มุมที่ได้จากทั้ง8 คน ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกัน
          แง่มุมที่ได้จากตัวละครทั้ง8คนคือ มิตรภาพ ความสามัคคี
ในหนังสือนั้นช่วงตอนท้ายๆตอนที่ ทั้ง8คนร่วมมือกันต่อสู้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความสามัคคีและมิตรภาพที่ทุกคนมีให้ต่อกัน อย่างชัดเจน เช่น การที่
2.แง่มุมที่ได้จากแองเจล่า และ ฟาเรล
          แง่มุมที่ได้จากตัวละครแองเจล่า และ ฟาเรลคือ ความรัก
มีอยู่หลายฉากที่ตัวละครทั้งแองเจล่า และ ฟาเรลต้องเจอกับอันตราย แต่พวกเขาก็เลือกที่อยู่ด้วยกัน ผ่านมันไปด้วยกัน และยังมีบทสนทนาหวานๆในอีกหลายๆฉาก
3.แง่มุมที่ได้จาก แอนโทนี่
          แง่มุมที่ได้จากตัวละคร แอนโทนี่ คือ ความมีมารยาทและความเป็นสุภาพบุรุษ
โดยแอนโทนี่นั้นเป็นคนที่มีให้เกียรติสุภาพสตรีก่อนเสมอ อย่างเช่นลุกไปขยับเก้าอี้ให้ฝ่ายหญิงนั่ง หรือการพูดด้วยคำพูดสุภาพแม้จะโดนต่อว่าอยู่ก็ตาม
4.แง่มุมที่ได้จากแองเจล่า
          แง่มุมที่ได้จากตัวละครแองเจล่าคือ ความเสียสละ
แองเจล่ามีที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับของแบรนด์เนมและมีค่านิยมเหมือนพวกชนชั้นสูง แต่สุดท้ายกลับเป็นเธอที่เสียสละมากที่สุด
5.แง่มุมที่ได้จากฟาเรล
          แง่มุมที่ได้จากตัวละครฟาเรล คือ กล้าหาญ
ด้วยความเป็นเด็กอัจฉริยะของฟาเรลซึ่งมีแต่นิสัยขีขลาดจนในหลายๆตอนที่ฟาเรลได้ออกตัวมาปกป้องแองเจล่าจึงทำให้เห็นได้ว่าฟาเรลเองก็มีความกล้าหาญซ่อนอยู่ในตัวเหมือนกัน


3 วัยใสหัวใจโขน

ที่มา : https://library.kku.ac.th/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน ภูผา
เรื่องย่อ  
มีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง 2 คนที่เป็นเพื่อนกันทั้งคู่ไม่ค่อยได้สนิทกัน แต่สนใจในเรื่องราวประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของโขนที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่ทั้ง 2 คนนั้นสนิทกันเกิดจาก วันหนึ่งมีเด็กชายปกเห็นเพื่อนผู้หญิงของเขาชื่อ น้ำใส นั่งวาดรูปอะไรอยู่คนเดียวปกเลยเข้าไปถามว่าวาดรูปอะไรแต่น้ำใสไม่กล้าให้ดู เพราะรูปที่เขาวาดนั้นต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มักจะวาดแต่ผู้หญิงสวยๆตาโตๆแบบตัวการ์ตูนญี่ปุ่นแต่งตัวสวยงาม ในตอนแรกน้ำใสก็ไม่กล้าให้ปกดูเพราะเขินอายแต่ที่สุดแล้วปกก็ตื้อน้ำใสจนน้ำใสให้ปกดูรูปวาดที่เขาวาด ซึ่งปกเห็นก็ชอบอกชอบใจ ที่เห็นน้ำนั้นวาดรูปผู้หญิงแต่งชุดไทยเป็นนางรำสวยๆ ปกเปิดไปหลายภาพก็มีแต่รูปนางรำสวยงามทั้งนั้นปกถามน้ำใสว่า ทำไมน้ำใสถึงชอบวาดรูปพวกนี้ละ น้ำใสบอกว่า เพราะว่าน้ำใสอยากเป็นนางรำแบบพวกพี่ๆเขาน้ำก็ถามปกกลับว่า แล้วปกละรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับโขนหรือการรำอะไรพวกนี้บ้าง น้ำรู้นะว่าปกเคยเรียนโขนแถมเล่นเป็นลิงด้วย เล่าให้น้ำฟังหน่อยปกก็บอกไปว่า พวกลิงก็จะเป็นพวกทหารที่คอยอารักขาพระรามกับพระลักษณ์แต่ว่าน้ำอยู่แล้วเลยถามปกว่า แล้วเรื่องที่คู่ชอบเล่าให้ฟังในชั่วโมงนาฏศิลป์ละ เล่าให้น้ำฟังหน่อย แต่ทว่าปกชอบแอบหลับในชั่วโมงนี้เลยตอบไปว่า เดี๋ยวปกจะเล่าให้ฟังวันหลังนะวันนี้จะต้องไปเข้าแถวแล้ว แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็ทำให้ปกต้องไปหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวของโขนให้น้ำ และหลังจากวันนั้นก็ทำให้ปกตั้งใจเรียนหันมาสนใจในเรื่องราวของโขนจนทำให้เขาทั้งคู่สนิทสนมกันและพ่อแม่ของปกก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีในเรื่องของการรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้ถึงกับเอ่ยปากว่าจะพาน้ำใสกับปกไปดูโขนที่โรงละครแห่งชาติ หลังจากดูจบเขาทั้งคู่ก็ยังได้กลับมาหัดเรียนท่าทางการแสดงโขนโดยมีพ่อและครูของปกมาช่วยสอนอีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วน้ำใสก็ต้องย้ายบ้านไปต่างจังหวัดเพราะพ่อของน้ำใสต้องไปทำงานอื่น จนทำให้เขาไม่ค่อยได้ติดต่อกันแต่ปกก็ไม่ทิ้งโขนได้เรียนและได้ขึ้นแสดงโขนในงานต่างๆของโรงเรียนจนทำให้รู้ว่าในอนาคตของปกเลือกที่จะเป็นอะไรและเรียนอะไรต่อหลังจากจบ ม.6 ...

แง่มุมที่ 1
การวางแผน จากที่พ่อและแม่ของปกรับปากว่าจะพาปกและน้ำใสไปดูโขนที่โรงละครแห่งเริ่มจาก แม่ของปกเริ่มหามูลในอินเทอร์เน็ต เพื่อหาว่าโขนแสดงที่ไหน เวลาไหน ราคาเท่าไหร่ ส่วนพ่อของปกก็คำนวณระยะเวลาในการเดินทางที่จะไม่ให้ถึงที่หมายช้า ที่จะไม่ได้ไปรบกวนเวลาที่คนอื่นชมโขนอยู่
แง่มุมที่ 2
        จากคำถามของน้ำ ทำให้ปกเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่ชอบนั่งหลับในชั่วโมงเรียน กลายเป็นเด็กที่คอยฟังครูสอนเพื่อที่จะมาได้เล่าเรื่องที่ครูสอน มาเล่าต่อให้น้ำใสฟังได้และจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับน้ำใสด้วย
แง่มุมที่3
          ในวันที่ปกยังตอบคำถามของคนอื่นไม่ได้ว่าจบ ม.6 แล้วเขาจะเรียนอะไรต่อในรั้วมหาวิทยาลัย เขาได้ติดต่อกับน้ำใสและสอบถามน้ำใสว่าเป็นไงบ้างน้ำก็บอกกับปกว่าเขาได้เรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์และจะทำตามความฝันที่จะเรียนต่อที่เดิมเผื่อที่จะได้เป็นนางรำอย่างที่เขาใฝ่ฝันไว้ จนทำให้ปกคิดได้ว่าเขาควรทำอย่างไร ชอบอะไรก็ควรศึกษาต่อในสิ่งที่เขาชอบ และปกก็ได้คำตอบของตัวเขาเองว่าเขาจะเรียนในด้านอะไร
แง่มุมที่ 4
          ผู้คนที่ให้ความสนใจในเรื่องราวของโขนส่วนใหญ่ก็ยังทำท่าทางไม่ถูกและทำไม่เป็น ทั้งนี้ก็ต้องเกิดจากการเรียนรู้ฝึกฝนและตั้งใจทำเพื่อที่จะได้ชำาญในสิ่งที่ตนเองยังทำไม่ได้ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่กำลังทำอยู่ถ้าเราไม่ย่อท้อสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ ความสำเร็จของตัวเราเอง

แง่มุมที่ 5
         
สิ่งที่จะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้ก็คือ การที่เราไม่ลงมือทำ ถ้าเราไม่เริ่มก็จะไม่มีสิ่งที่เราอยากได้หรือสิ่งที่เราต้องการให้เป็น รวมถึงการที่จะทำให้คนเริ่มหันมาสนใจในเรื่องของโขนก็จะต้องเริ่มจากตัวเราที่จะทำยังไงให้คนสนใจ แล้วจะทำยังไงถ้าคนเริ่มหันมาสนใจเพราะฉนั้นเราก็ต้อง ทำมันออกมาให้ที่สุดเพื่อที่คนอื่นเห็นจะได้หันมาสนใจในความสวยงามของศิลปวัฒนธรรมของเรา ช่วงหลังๆคนเริ่มหันไปนิยมทำตามแบบฝรั่งเสียมากกว่าจนลืมวัฒนธรรมและการแสดงที่สวยงามของประเทศเรา และเราต้องใช้ความสวยงามของโขนดึงดูดคนไทยให้กลับมาสนใจเหมือนที่ผ่านมา

2 ยอดกุนซือทะลุมิติ เล่ม 5

ที่มา: http://www.matichonbook.com/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน   มู่อี้
ผู้แปล กระดิ่งหยก
เรื่องย่อ
เรื่องเกิดในรัชสมัยเจียจิ้ง (ราชวงศ์หมิงช่วงกลางค่อนไปทางปลาย ราวปี 1522-1523มีคฤหาสน์ร้างกลางทุ่งนาที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวเลอโฉมเมื่อครึ่งปีก่อน กลายเป็นที่ร่ำลือว่ามีผีสิง ชาวบ้านพบเห็นวิญญาณสตรีไร้ศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างเป็นครั้งคราว กลายเป็นที่หวาดผวาของคนในหมู่บ้าน ครึ่งปีต่อมา คฤหาสน์เปลี่ยนมือเป็นรังรักของพ่อค้ากับหญิงชู้ต่างถิ่น ทว่าไม่ทันไรฝ่ายหญิงก็กลายเป็นศพ ที่คอมีรอยบีบชัดเจน ประตูหน้าต่างลงกลอนจากในห้อง ซ้ำรอยคดีเก่าไม่ผิดเพี้ยน (คดีเมื่อครึ่งปีก่อน)เมิ่งเทียนฉู่ยิ่งสืบยิ่งอับจนหนทาง จำต้องรื้อฟื้นคดีเมื่อครึ่งปีก่อนขึ้นมาใหม่ สุดท้ายเขาก็หาตัวฆาตกรได้จนเจอ แท้ที่จริงแล้วเขาคาดไม่ถึงว่าผีที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่ใช่ผีที่แท้จริงแต่กลับเป็นสัตว์เลี้ยง (ลิง) ของหญิงสาวที่เป็นชู้กับพ่อค้า มีความฉลาดเรียนรู้ภาษาคน
แง่มุมที่ 1
การวางแผน การที่เมิ่งเทียนฉู่จะหาตัวฆาตกรเจอเขาต้องมีการวางแผน คิดหาวิธีการที่เป็นไปได้ ก็เหมือนกับการทำงานการจัดทำโครงการจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องมีการวางแผน หาสาเหตุของแต่ละปัญหา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เช่น การที่ชาวบ้านพบเห็นวิญญาณที่ยืนข้างหน้าต่างแท้จริงแล้วกลับเป็นสัตว์เลี้ยงของหญิงสาวที่ถูกฆ่า นำเสื้อของผู้ตายมาสวมใส่แล้วเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง เมื่อมองดูก็จะเห็นว่าไม่มีศีรษะ
แง่มุมที่ 2
การสืบหาฆาตกรเมิ่งเทียนฉู่ต้องมีความอดทนเพราะในสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่มีเหมือนในปัจจุบัน การหาฆาตกรจึงค่อย ๆเป็นค่อยๆไป ใจร้อนเกินไปก็อาจจะทำให้เสียงานได้
แง่มุมที่ 3
เมิ่งเทียนฉู่มีไหวพริบที่ดี คิดอย่างเป็นระบบ เขาใช้กลยุทธ์หรือวิธีการตามเถาไปหาผล คือว่า เมื่อพบสิ่งที่สงสัยก็คือเถา เถานั้นก็พาไปพบกับตัวของฆาตกรที่แท้จริงก็คือผลนั้นเอง
แง่มุมที่ 4
เมิ่งเทียนฉู่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นที่เคารพของชาวบ้านไม่พูดโอ้อวดเกินจริง ใช้ความสามารถของตัวเองหาตัวฆาตกร ก็เหมือนกับการที่เราเป็นนักพัฒนาสังคมก็ต้องมีความถ่อมเนื้อถ่อมตน วางตัวให้เหมาะสม แก้ปัญหาให้ถูกจุด
แง่มุมที่ 5
เมิ่งเทียนฉู่มีความคิดเป็นผู้นำ เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีต้องมีทั้งความพยายามความอดทน ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อีกทั้งยังต้องมีไหวพริบคิดแก้ปัญหา ที่ขาดไม่ได้คือมีการวางแผนให้รอบครอบคิดทบทวนงานนั้นก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

1 THE MAZE RUNNER

ที่มา: https://www.dek-d.com/ สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน James Dashner(เจมส์แดชเนอร์) 
ผู้แปล แสงตะวัน 
เรื่องย่อ
เรื่องราวของโธมัส  ที่พบว่าตนเองอยู่ สถานที่เปิดกว้างขนาดใหญ่และถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงคอนกรีตขนาดมหึมา โธมัสสูญเสียความทรงจำเช่นเดียวกับเหล่าชาวทุ่งคนอื่นๆ ที่ต่างก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครและมาที่นี่ทำไม แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่รอดในท้องทุ่ง ที่ซึ่งทุกๆ เช้าประตูคอนกรีตขนาดยักษ์จะเปิดออกสู่เขาวงกตที่สุดแสนอันตรายและเป็นที่อยู่ของกรีฟเวอร์
 หรือจักรกลชีวภาพที่น่ากลัวพร้อมจะคร่าชีวิตผู้คนได้ทุกเมื่อ ความหวังเดียวของเหล่าชาวทุ่งที่จะหนีออกจากเขาวงกตนี้ได้ ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่พวกเขาเรียกว่า นักวิ่ง” ที่ทุกๆเช้า เมื่อฟ้าใกล้สาง จะต้องทำหน้าที่ออกวิ่งเข้าสู่ทุกตารางพื้นที่ในเขาวงกตคอนกรีตมหึมา เพื่อทำการสำรวจและจดบันทึกทำแผนที่ภายในเขาวงกต โดยทั้งหมดจะต้องทำแข่งกับเวลาก่อนพบค่ำที่เขาวงกตจะปิดตัวลง ซึ่งหากพวกเขาไม่สามารถกกลับออกจากวงกตมาได้ก่อนค่ำ พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสกลับมาอีกเลย หลังจากการมาเยือนของโธมัส สร้างความไม่พอใจให้กับ “เกลลี่” สมาชิกหนึ่งในทุ่ง แต่นั่นก็ทำให้โธมัสได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนักวิ่ง และได้ร่วมอออกเดินทางสู่วงกตพร้อมกับ “มินโฮหัวหน้าทีมนักวิ่งของท้องทุ่ง และทำให้พวกเขาได้พบกับเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ W.C.K.D.องค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังของการมาเยือนท้องทุ่งของทุกคน
แง่มุมที่ 1
การวางแผน ในเรื่องของการมีชีวิตรอดอยู่ในเขาวงกต ต้องดูแล แบ่งงาน รับผิดชอบหน้าที่กันเอง สิ่งสำคัญของเรื่องคือหน้าที่ของนักวิ่งที่ต้องเข้าไปในเขาวงกต เพื่อทำแผนที่มาวาดแผนที่เพื่อหาทางออก บางคนวิ่งไม่ไหว ก็ทำหน้าที่หาเสบียง และต่อสู้ไปด้วยกัน  สะท้อนถึงสังคมคือเขาวงกตเปรียบเสมือนทางผ่านที่จะออกไปสู่โลกภายนอก เพราะเขาวงกตก็เหมือนกับมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ที่พอเราผ่านมาได้ เราก็ต้องเข้าไปสู่อีกสังคมระบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ทำได้เพียงแต่ไหลไปตามสายพานนั้น หรือเลือกที่จะหาทางออกจากระบบนั้นต่อไปเพื่อไปอีกสังคมหนึ่งที่มีระบบไม่ต่างกัน  
 แง่มุมที่ 2
การที่โทมัสถูกส่งตัวมายังเขาวงกต โทมัสไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ซึ่งเริ่มจากการที่โทมัสสงสัย นำไปสู่การค้นคว้าหาคำตอบ ระหว่างการค้นหาคำตอบนั้น ได้มีการวางแผน และตัดสินใจครั้งสำคัญ ถ้าตัดสินใจพลาดก็ไม่อาจออกจากเขาวงกตได้ เปรียบเสมือน โทมัสเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่เผชิญกับปัญหา ซึ่งเป็นธรรมดาของวัยรุ่นที่จะต้องเจอกับปัญหาด้านต่างๆ การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้อาจจะทำให้ก้าวจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่เติบโตต่อไปได้
แง่มุมที่ 3
          คนที่ถูกส่งมายังเขาวงกตนั้น ล้วนมีความคิดว่าเราไม่มีวันสามารถออกจากเขาวงกตไปได้ แต่ต่างจากตัวละครที่ชื่อว่าโทมัส เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถออกจากเขาวงกตไปได้อย่างไรแต่เขาก็ได้ลงมือแก้ไขปัญหาซึ่งต่างจากคนอื่นๆ ทั่วไป ที่ยอมเป็นทางสายกลางใช้ชีวิตอยู่ในเขาวงกต
แง่มุมที่ 4
          การที่โทมัสถูกส่งตัวมายังเขาวงกต และพยายามค้นหาคำตอบ แก้ไขปัญหาที่จะออกไปจากเขาวงกต คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องที่หวังลมๆ แร้ง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่เมื่อโทมัสพิสูจน์ตัวเองโดยการหาวิธีทางที่จะออกไปจากเขาวงกต ด้วยการใช้ความคิด และการทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ ทำให้คนอื่นมีความคิดที่จะช่วยโทมัสแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะออกจากเขาวงกตไปในที่สุด จะเห็นได้ว่าการที่จะวางแผนแก้ไขปัญหาเพื่อผ่านอุปสรรคที่ใหญ่ไปได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือ
แง่มุมที่ 5
          สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการหยุดนิ่ง ตัวละครในเรื่อง THE MAZE RUNNER นั้นไม่มีพลังพิเศษอะไร เขามีเพียงความคิดที่เป็นคนธรรมดาเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่ตัวละครทุกตัวละครในเรื่อง ได้ดิ้นรนที่จะเอาตัวรอดที่แตกต่างกันไป โดยไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่มีการวางแผนที่เป็นระบบ